จากข้อมูลในสรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด
ระบุว่า ว่านหางช้าง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ว่านมีดยับ
Black Berry Lily, Leopard Flower
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Belamcanda chinensis (L.) DC. หรือ Iris domestica
อยู่ในวงศ์ IRIDACEAE
ซึ่งจะเป็นคนละชนิดกับว่านหางช้างหรือที่รู้จักกันดีว่า ว่านเพชรหึงซึ่งเป็นกล้วยไม้ในสกุล grammatophyllum วงศ์ Orchidaceae
ว่านหางช้างมีลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้ล้มลุก สูง 0.6 - 1.2 เมตร มีเหง้าเลื้อยตามแนวขนานกับพื้นดิน ใบเดี่ยว แทงออกจากเหง้า เรียงซ้อนสลับ กว้าง 2 - 3 ซม. ยาว 30 - 45 ซม. เนื้อใบค่อนข้างหนา ดอกช่อ ออกที่ปลายยอด กลีบดอกสีส้มมีจุดประสีแดงกระจาย ผลแห้ง เมื่อแก่จะแตกอ้า และกระดกกลับไปด้านหลัง
ส่วนที่ใช้ : ราก เหง้าสด ใบ เนื้อในลำต้น
สรรพคุณ :
ราก เหง้าสด - แก้เจ็บคอ
ใบ - เป็นยาระบายอุจจาระและแก้ระดูพิการของสตรีได้ดี
เนื้อในลำต้น
- เป็นยาบำรุงธาตุ แก้โรคระดูพิการของสตรี
- ใช้บำบัดโรคต่อมทอนซิลอักเสบ
- ใช้เป็นยาถ่าย
วิธีและปริมาณที่ใช้ :
แก้เจ็บคอ
ใช้ราก หรือเหง้าสด 5-10 กรัม แห้ง 3-6 กรัม ต้มน้ำรับประทาน
เป็นยาระบาย และแก้ระดูพิการของสตรี
ใช้ใบ 3 ใบ ปรุงในยาต้ม
ความรู้เพิ่มเติม - เกี่ยวกับทางด้านความเชื่อ
มีความเชื่อกันว่าเป็นว่านมหาคุณ ปลูกไว้หน้าบ้านกันภัยอันตรายต่างๆ เพราะสามารถนำว่านนี้มาใช้ประโยชน์ทางไสยคุณได้ เช่น
ดอก - ใช้แก้ไสยคุณที่เกิดจากการกระทำจากผม
ใบ - ใช้แก้ไสยคุณที่เกิดจากการกระทำจาก เนื้อ
ต้น - ใช้แก้ไสยคุณที่เกิดจากการกระทำจาก กระดูก
ในภาคอีสาน นิยมปลูกเป็นว่านศิริมงคล แม่บ้านกำลังจะคลอดลูก ใช้ว่านหางช้างนี้พัดโบกที่ท้องเพื่อให้คลอดลูกง่ายขึ้น
การปลูกเลี้ยง
ว่านหางช้างปลูกเลี้ยงค่อนข้างง่าย ชอบดินร่วน ไม่ชอบน้ำขัง ปลูกได้ตั้งแต่ที่รำไรถึงแดด ที่ไม่มีลมพัดแรง เนื่องจากจะทำให้ใบพับงอได้ง่าย
การขยายพันธุ์
ใช้วิธีการแยกหน่อหรือเพาะเมล็ด ฤดูออกดอกประมาณเดือน สิงหาคมถึงธันวาคม
นอกจากนี้ยังมีว่านหางช้างที่ปลูกเป็นไม้ประดับอีกหลายสีเช่น ชมพู เหลือง